ถอดรหัสความสำเร็จหนังไต้หวันกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสนุกป่วนโลก

สัมภาษณ์สุดexclusive สองผู้กำกับ เฉิงเหว่ยหาว (Cheng Wei-hao) จากเรื่อง Mary My Dead Body และ อินเจิ้นหาว (Yin Chen-hao) จากเรื่อง GG Precinct รวมถึงโปรดิวเซอร์

ศิลปะ

ศิลปะ

ศิลปะ

ถอดรหัสความสำเร็จหนังไต้หวันกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
ความสนุกป่วนโลก

“ซองแดงเป็นเรื่องของวัฒนธรรมตำนานความเชื่อในเรื่องการแต่งงานกับผี แต่หัวใจสำคัญของเรื่องนี้คือการนำเอาวัฒนธรรมเก่าแก่ดั้งเดิมมาผสมกับกระแสในยุคปัจจุบัน ซึ่งเราเลือกหยิบเอากระแส LGBTQ+ มาเล่า”

ดูเหมือนว่าอุตสาหกรรมบันเทิงไต้หวันกำลังหวนกลับมามีกระแสจนกลายเป็นที่สนใจระดับโลกอีกครั้ง เพราะหลังจากภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง“Marry My Dead Body (แต่งงานกับผี)” ออกฉายนอกจากจะทำให้วงการภาพยนตร์ในประเทศกลับมาคึกคักแล้วก็ยังปั่นป่วนความสนุกนี้ไปทั่วโลกอีกด้วย แถมยังเรียกได้ว่าเรื่องนี้ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และรางวัล ตลอดจนทำให้เกิดการสร้างซีรีส์ต่อยอดจนกลายเป็น “GG Precinct (คดีป่วนเขตเจิ้งกัง)” ซึ่งก็แน่นอนว่าสร้างกระแสตอบรับที่ดีไปทั่วโลกตามกัน

ในโอกาสเทศกาลภาพยนตร์ Taiwan Movie Week 2024 ปีนี้นอกจากภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องจะเข้าร่วมฉายในเทศกาลแล้วเรายังมีโอกาสได้ร่วมสนทนากับผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้อย่าง จินไป่หลุน (Jin Pai-lunn) โปรดิวเซอร์สาวคนเก่งที่มาพร้อมกับ เฉิงเหว่ยหาว (Cheng Wei-hao) ผู้กำกับฝีมือฉมังของ Marry My Dead Body กับ GG Precinct และ ยินเจิ้นหาว (Yin Chen-hao) ผู้กำกับฝีมือดีอีกคนที่เข้ามาเสริมทัพให้กับ GG Precinct ซึ่งเหล่าพลังคลื่นลูกใหม่นี้กำลังตั้งใจสร้างแรงกระเพื่อมให้กระแสไต้หวันกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง

เล่าถึงความสำเร็จครั้งนี้ให้ฟังหน่อย
จินไป่หลุน : ก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมบังเทิงไต้หวันซบเซามานานมาก คนไต้หวันเองก็ชอบดูหนัง Hollywood ดูซีรียส์ต่างประเทศ รวมถึงชอบหนังผีของไทยมาก ๆ พอ Marry My Dead Body ออกฉายดันได้กระแสตอบรับในประเทศที่ดีมาก รวมถึงได้รับ Feedback ดี ๆ เยอะ คนดูกันทุกเพศทุกวัย อย่างมีผู้ปกครองคนนึงส่งข้อความมาหาเราบอกว่าขอบคุณมาก ๆ ที่ทำให้เขาเปิดรับเรื่อง LGBTQ+ มากขึ้น กล้าคุยกับลูกตัวเองในเรื่องนี้ เข้าใจกันมากขึ้น แล้วก็ได้รู้มาว่าลูกที่เป็น LGBTQ+ หลายคนก็เริ่มหันกลับมาคุยกับครอบครัวตัวเอง ยอมรับกันมากขึ้น มันช่วยทำลายช่องว่างระหว่างเจนเนอร์เรชั่นได้ดีเลย ทำให้สังคมเปิดใจกันมากขึ้นด้วยค่ะ

ยินเจิ้นหาว : อีก Feedback ที่ดีมาก ๆ ก็คือทุกคนชอบทีมตำรวจแก๊งนี้มาก ถึงตัวละครเยอะแต่ทุกคนก็จำคาแรคเตอร์แต่ละคนได้หมด เห็นปุ๊บนึกออกเลยว่า คนนั้นเหมือนเพื่อนเราเลย คนนี้เหมือนคนข้างบ้าง คนนั่นเหมือนพ่อของเพื่อน คือมันใกล้เคียงกับคนในสังคมจริง ๆ แล้วก็อยู่ใกล้ตัว ซึ่งตอนเราสร้างตัวละครพวกนี้ขึ้นมาก็พยายามใส่รายละเอียดให้เป็นคนในสังคมจริง ๆ พอดูแล้วมันเลยเชื่อ สัมผัสได้ และนั่นก็เลยทำให้คนดูสร้างความเชื่อมโยงกับผลงานและประทับใจได้ง่าย

ทำไมถึงเลือกหยิบเอาไอเดีย “ซองแดง” มาเป็นแกนของการเล่าเรื่อง
จินไป่หลุน : อันที่จริงแล้วไอเดียนี้ได้มาจากการประกวดค่ะ พอดีตอนนั้นในไต้หวันมีการจัดประกวดหาประเด็นการเล่าเรื่องแบบใหม่ ๆ ขึ้น ตัวดิฉันเองก็ได้มีโอกาสไปเป็นหนึ่งในกรรมการครั้งนั้นด้วย มีคนส่งเข้ามาเยอะมาก อ่านไปประมาณ 300 กว่าเรื่องก็เห็นไอเดียซองแดงนี้โดดเด่นสุดเลย จริง ๆ ซองแดงเป็นเรื่องของวัฒนธรรมตำนานความเชื่อในเรื่องการแต่งงานกับผี แต่หัวใจสำคัญของเรื่องนี้คือการนำเอาวัฒนธรรมเก่าแก่ดั้งเดิมมาผสมกับกระแสในยุคปัจจุบัน ซึ่งเราเลือกหยิบเอากระแส LGBTQ+ มาเล่า เอาสองสิ่งมารวมกันอย่างไรแล้วทำให้มันเกิดความสนุก ทำให้วัฒนธรรมและความเชื่อต่างขั้วเกิดการปะทะกัน ความใกล้ตัวที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์คนดูได้ง่ายนี่แหละคือเคล็ดลับหนึ่งของความสำเร็จ

ด้วยความที่ GG Precinct เป็นเสมือนภาคต่อของ Marry My Dead Body ในตอนทำบทภาพยนตร์นั้นเขียนแบบยาวต่อเนื่องไปเลยทั้งสองเรื่อง หรือเขียนทีละเรื่องแยกกัน

เฉิงเหว่ยหาว : จริงๆ เขียนหนัง Marry My Dead Body ก่อนครับ ตอนนั้นยังไม่มีไอเดียทำภาคต่ออะไร แต่พอตัดต่อเสร็จเรียบร้อยแล้วถึงมารู้สึกว่า แก๊งตำรวจดูน่าสนใจมากเลยนะ เลยอยากเอาไปพัฒนาต่อ ผมก็เลยไปชวนยินเจิ้นหาวกับนักเขียนอีกคนมาช่วยกันเขียนบทซีรีส์ภาคต่อขึ้นแล้วก็ชวนเขามาช่วยกันกำกับด้วย ก็เลยเกิดเป็นเรื่อง GG Precinct ครับ แต่จะว่าภาคต่อก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ถึงแม้จะใช้ตัวละครเดิมเป็นหลักในการดำเนินเรื่อง ใช้สถานที่และช่วงเวลาต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน แต่แก่นเรื่อง เนื้อหา และวิธีนำเสนอก็ต่างกันเลย

ในส่วนของเรื่อง GG Precinct ทำไมจึงหยิบเอา “สำนวนจีน” มาเป็นคอนเซ็ปต์ในการเล่าเรื่อง
ยินเจิ้นหาว : ตอนที่คิดบทเรื่องนี้รู้สึกว่าอยากจะทำหนังฆาตรกรรมแนวสืบสวนสอบสวนแต่ให้มีเอกลักษณ์แบบฝั่งตะวันออกครับ อย่างฝั่งตะวันตกก็เคยทำหนังฆาตรกรรมที่เชื่อมโยงไปถึงคัมภีร์ไบเบิลใช่ไหมครับ แล้วฝั่งตะวันออกล่ะควรเป็นอะไรดี เราก็เลยลองนึกย้อนกลับไปแล้วพบว่าคนไต้หวันน่าจะเคยผ่านการเรียนเรื่องสุภาษิตจีนกันมาแทบทุกคน เรามีพจนานุกรมสุภาษิต เคยอ่าน เคยท่อง เคยฝึกเขียน เคยสอบ แล้วก็ต้องเคยเขียนผิดกันแน่ ๆ ก็เลยรู้สึกว่าอยากลองเอาสิ่งนี้มาต่อยอดการเขียนบท พัฒนาให้เป็นโมทีฟของเรื่องแบบสไตล์ตะวันออกดูบ้าง

แล้วมีเทคนิคการตีความหรือแปลง “สำนวนจีน” ให้เป็นการฆาตรกรรมแต่ละคดีอย่างไร
ยินเจิ้นหาว : มันเป็นเรื่องที่ยากมากครับ เราเรียกประชุมทีมแล้วมีไวท์บอร์ดอันใหญ่มาตั้ง ระดมสมองช่วยกันคิดและเลือกสำนวนต่าง ๆ ออกมาเยอะมาก แล้วเราก็จะมาดูกันว่าสำนวนไหนที่คนมักใช้ผิดหรือเขียนผิดกันบ่อย เพราะในเรื่องจุดนี้แหละที่เราใช้เป็นเหตุแห่งการฆาตรกรรม แต่ถึงอย่างนั้นสำนวนต่าง ๆ มันก็ยังเยอะอยู่ดี (หัวเราะ) ทีนี้เราก็เลยจะมาดูกันว่าสำนวนไหนพอจะสร้างเป็นภาพออกมาให้เห็นเป็นซีนถ่ายทำได้บ้าง และออกมาเป็นภาพแบบไหน บางสำนวนตีความเกี่ยวกับอาหาร บางสำนวนตีความเป็นอวัยวะ อะไรทำนองนี้ จริง ๆ เราชอบกันเยอะมาก แต่ว่าบางอันก็ดูโหดเกินไป หรือบางอันอลังการจนงบสูงเกินไปก็ต้องตัดออก จนกระทั่งเหลือสำนวนที่เหมาะสมกับการถ่ายทำและเล่าเรื่องได้ดีที่สุด

เรื่อง Marry My Dead Body และ GG Precinct สื่อสารแตกต่างกันอย่างไร
เฉิงเหว่ยหาว : ถึงแม้ดูผิวเผินจะเหมือนกัน เพราะเป็นแก๊งตัวละครกลุ่มเดียวกัน แต่สองเรื่องนี้ก็สื่อสารเนื้อหาแตกต่างกันชัดเจน สิ่งที่สื่อใน Marry My Dead Body ค่อนข้างดูนามธรรม อิงกับเรื่องเหนือธรรมชาติและวัฒนธรรม เน้นเรื่องความสัมพันธ์ ขณะที่ GG Precinct ดูเป็นรูปธรรมมากกว่า เน้นข้อเท็จจริง รายละเอียดการสืบสวน มีเหตุและผล รวมถึงมุกตลกในเรื่องก็เน้นในมุมมองและวิธีการที่ต่างกัน อีกเรื่องเป็นภาพยนตร์ตอนเดียวจบ อีกเรื่องเป็นซีรีส์หลายตอน ประสบการณ์การของคนดูก็ต่างกัน เราก็เลยตั้งใจทำให้ทั้งสองเรื่องนี้มีรายละเอียดที่ต่างกันด้วย

มีแผนจะต่อยอดคอนเซ็ปต์นี้ออกไปเป็นเรื่องอื่น ๆ อีกหรือเปล่า
จินไป่หลุน : ก็เคยคุยกันอยู่เหมือนกันค่ะ เพราะผลตอบรับมันดีมาก ตัวแก็งตำรวจก็ยังคงเป็นคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจ คนรักตัวละครกลุ่มนี้มากด้วย ก็อาจจะมีไอเดียแบบว่าบินมาสืบคดีที่เมืองไทยบ้างก็ได้นะ (หัวเราะ) คือมันมีแนวโน้มน่าสนใจ แต่ตอนนี้เราก็ยังไม่ได้คุยรายละเอียดกันจริงจังเท่าไร

สไตล์การกำกับภาพยนตร์ของแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง
เฉิงเหว่ยหาว : ผมชอบสไตล์หนังระทึกขวัญ (Thriller) แนวสืบสวนสอบสวนมาตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะถ้าเป็นอารมณ์หนังผีนิด ๆ น่ากลัวหน่อย ๆ จะชอบมาก ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นซิกเนเจอร์ของเราหรือเปล่า แต่ว่าเป็นสิ่งที่เราชอบแล้วก็ทำอยู่เสมอ

ยินเจิ้นหาว : สไตล์ของผมอาจจะไม่ได้พูดถึงประเภทของหนัง แต่จะเป็นสไตล์การกำกับของผมมากกว่า คือผมจะชอบการเก็บรายละเอียด ใส่ดีเทลลงไปในตัวละครทุกตัว ไม่ใช่ตัวหลักก็เก็บรายละเอียดหมด ทั้งภายในและภายนอกของตัวละคร เพื่อทำให้ตัวละครมีมิติ แล้วพอมีบทเชื่อมต่อกับตัวละครตัวอื่นก็จะทำให้หนังดูมีมิติลึกขึ้น คนดูเชื่อมากขึ้น อินกับตัวละครได้ง่ายขึ้น ซึ่งรายละเอียดต่าง ๆ ส่วนใหญ่แล้วมันก็คือข้อมูลที่อยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคนนี่แหละครับ

เคล็ดลับในการทำภาพยนตร์แนวตลกขบขัน (Comedy) ของผู้กำกับแต่ละคนคืออะไร
เฉิงเหว่ยหาว : สำหรับผมถ้าจะทำหนังตลกมันต้องมีความแตกต่างกันแบบสุดขั้วอยู่ในเรื่อง อย่างใน Marry My Dead Body ก็จะมีตัวละครนึงที่แมนมาก แล้วอีกคนก็จะแบบเกย์ไปเลย พอสองคาแรคเตอร์นี้ต้องมาอยู่ด้วยกันเนี้ยะมันก็จะเกิดเรื่องราวอลหม่านขึ้นแน่นอน ความแตกต่างกันสุดขั้วนี่แหละที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของความฮา

ยินเจิ้นหาว : สำหรับผมตัวละครจะต้องเป็นคนประหลาด หรือไม่เหมือนใคร คนที่มีความคิดประหลาดแล้วอยากได้สิ่งหนึ่งมาก แต่พยามแล้วก็คว้ามาไม่ได้สักที ทีนี้แหละมันก็จะทำให้เกิดความพยายามทำให้ได้ไม่ว่าจะวิธีใด ตรงนี้มันก็จะเริ่มมีวิธีประหลาด ๆ แปลก ๆ เกิดขึ้นได้ ซึ่งนั่นสร้างให้เกิดความสนุกได้

แต่ละคนประทับใจตัวละครไหนในสองเรื่องนี้มากที่สุด และคิดว่าใครเหมือนกับตัวเรามากที่สุด
จินไป่หลุน : ตำรวจหญิงหลินซู่ชิง (Lin Tzu-ching) ค่ะ เพราะในชีวิตจริงฉันเป็นโปรดิวเซอร์ใช่ไหมคะ ก็เหมือนเป็นหัวหน้าทีมที่ต้องคอยจัดการโน่นนี่ บริหารคนอะไรแบบนี้ ปวดหัวเหมือนเธอเลย (หัวเราะ) เราสัมผัสได้ว่าหัวหน้าตำรวจผู้หญิงคนนี้ต้องแกร่ง ต้องพยายามประคับประคองทีมให้ไปให้รอดให้ได้ เห็นตัวละครนี้แล้วก็ย้อนกลับมาถามตัวเองว่าจะพัฒนาตัวเองอย่างไรให้เป็นหัวหน้าที่ดี บริหารให้เป็น อีกอย่างเห็นบทนี้แล้วเข้าใจเลยกับคำว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว (หัวเราะ)

เฉิงเหว่ยหาว : ผมว่าผมเหมือนอู๋หมิงฮั่น (Wu Ming-han) นะ ผู้ชายแมน ๆ พูดอะไรตรง ๆ บางทีก็พูดอะไรไม่คิด พูดเสร็จปุ๊บก็รู้สึกว่า โอ้ย! ไม่น่าพูดออกไปเลย แต่มันไม่ทันแล้วไง (หัวเราะ) จริง ๆ แล้วมันก็เหมือนนิสัยของผู้ชายทั่วไปนั่นแหละ ที่บางทีไม่คิดอะไรเยอะ ไม่คิดเล็กคิดน้อย

ยินเจิ้นหาว : ของผมเหมือนหัวหน้าสำนักงานตำรวจชางยุงคัง (Chang Yung-kang) คือเป็นคนรักสงบ ชอบอะไรเรียบง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่ชอบการขัดแย้งกัน อย่างถ้าเกิดสองคนนี้ (อู๋หมิงฮั่น กับ หลินซู่ชิง) ทะเลาะกัน ก็จะไม่ยุ่ง คือเดินหนีเลย ช่างมัน เคลียร์กันเอง บายจ้า (หัวเราะ)

โปรดิวเซอร์หรือผู้กำกับที่ดีควรเป็นอย่างไร
จินไป่หลุน : การเป็นโปรดิวเซอร์คือการทำงานกับคน เจอคนมากมายหลากหลายอาชีพ ตั้งแต่นักแสดง ทีมงาน ไปจนถึงเซลส์ ดิสทริบิวเตอร์ ผู้บริหาร และอีกมากมาย ในการทำหนังแต่ละเรื่องใช้เวลานานมาก จากวันแรกจะถึงวันสุดท้ายโปรดิวเซอร์จะต้องทำให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกันกับเราให้ได้ เข้าใจตรงกัน ซึ่งอันนี้แหละคือสิ่งที่ยากที่สุด เพราะฉะนั้นการเป็นโปรดิวเซอร์ที่ดีนอกจากจะต้องบริหารให้ดีแล้วก็ยังต้องมีทักษะการสื่อสารที่ดีด้วย เพื่อทำให้ทุกคนเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน

เฉิงเหว่ยหาว : สำหรับผมก็เป็นเรื่องเดียวกันเลยครับคือการสื่อสาร ผู้กำกับที่ดีก็จะต้องสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจในภาพที่เราเห็นให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นตากล้อง ช่างไฟ นักแสดง หรือตำแหน่งใด ๆ ที่ทำงานกับเราก็ต้องเห็นภาพเหมือนกันหมด มีผู้ทรงอิทธิพลในวงการภาพยนตร์ท่านหนึ่งเคยพูดไว้ว่าหนังก็คือเรื่องของคน ประมาณ 80% เราอยู่กับคน ดีลกับคนโน้นคนนี้เต็มไปหมด ที่เหลืออีก 20% มันถึงจะเป็นเรื่องของเนื้อหา

ยินเจิ้นหาว : ในมุมมองผมการเป็นผู้กำกับที่ดีต้องมีความกระตือรือร้นที่จะเล่าเรื่องราวที่อยู่ในหัวให้คนอื่นฟังและต้องการถ่ายทอดเรื่องราวในหัวออกมาให้ทุกคนเห็นให้ได้ ถ้าวันไหนคุณเบื่อที่จะเล่า หมดไฟที่จะทำ วันนั้นคุณก็เป็นผู้กำกับไม่ได้

เสน่ห์ของภาพยนตร์ไต้หวันในมุมมองของแต่ละท่านคืออะไร
จินไป่หลุน : ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาหนังไต้หวันซบเซามาก ตอนนั้นพวกเราเหมือนสตาร์ทอัพตั้งทีมกันขึ้นมาแล้วมีเป้าหมายว่าถ้าเราจะทำหนังไต้หวันให้มันดีจะต้องทำอย่างไร อันดับแรกคือต้องเรียนรู้ก่อนว่าความสำเร็จของหนังต่างประเทศที่เข้ามาตีตลาดไต้หวันอยู่ตรงไหน เสร็จแล้วจะต้องทำอย่างไรเพื่อพัฒนาหนังไต้หวันให้เข้าถึงคนไต้หวันให้ได้ ฉะนั้นที่ผ่านมาเราเลยลองทำทุกอย่าง ก็มีทั้งล้มเหลวและประสบความสำเร็จ ทีนี้ถ้าถามว่าเสน่ห์ของหนังไต้หวันคืออะไร ในมุมองของดิฉันก็อยากจะตอบว่าคือการพยายามเรียนรู้และพัฒนาหนังให้ครองใจคน มีมิติใหม่ ๆ น่าสนใจอยู่เสมอค่ะ

เฉิงเหว่ยหาว : สำหรับผมอุตสาหกรรมหนังไต้หวันแบ่งออกเป็นสองยุค ยุคแรกเป็นสมัยที่ผู้กำกับรุ่นเก่าประสบความสำเร็จมากมาย ส่วนยุคที่สองเป็นกลุ่มผู้กำกับรุ่นใหม่ซึ่งเติบโตมาภายใต้ความสำเร็จนั้นและกำลังหาเส้นทางเพื่อสร้างความสำเร็จในรูปแบบของตัวเองบ้าง ถ้าถามว่าตอนนี้หนังไต้หวันมีความเป็นเอกลักษณ์หรือเสน่ห์ของหนังไต้หวันคืออะไร ผมไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน แต่ผมเชื่อว่าหนังไต้หวันมีเสน่ห์ และผมจะทำหนังไต้หวันที่ดึงดูดใจต่อไปเรื่อย ๆ

ยินเจิ้นหาว : ผมมองว่าเสน่ห์ของหนังไต้หวันคือการที่ทุกคนตั้งใจทำงาน ร่วมมือลงแรงกันทำอย่างเต็มที่ และมีเป้าหมายอยากให้หนังประสบความสำเร็จเหมือนกัน ในมุมมองผม เสน่ห์ไม่ใช่เรื่องของประเภทหรือแนวหนัง แต่มันคือคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำหนังทุกคน มันทำให้เกิดการหลอมรวมของหลากหลายแนวคิด นี่แหละคือเสน่ห์ของหนังไต้หวันที่ไม่ได้ถูกตีกรอบอยู่แค่ในความคิดใดความคิดหนึ่ง 

วางเป้าหมายในอนาคตของตัวเองไว้อย่างไรบ้าง
จินไป่หลุน : สำหรับฉัน 10 ปีที่ผ่านมามันคือการเรียนรู้ความสำเร็จของหนังชาติต่าง ๆ แต่อีก 10 ปีต่อไปจากนี้มันคือเวลาของการสร้างความสำเร็จในรูปแบบของเรา วันนี้เราประสบความสำเร็จที่คนไต้หวันเริ่มยอมรับเราแล้ว ต่อไปนี้ก็อยากจะทำให้คนทั่วโลกเปิดใจดูหนังไต้หวันมากขึ้นและยอมรับพวกเราบ้างค่ะ

เฉิงเหว่ยหาว : ในฐานะผู้กำกับผมก็อยากจะทำหนังให้หลากหลายรูปแบบมากขึ้นครับ ต่อจากนี้คงมองว่าหนังแนวไหนที่ยังไม่เคยทำก็อยากจะลองกำกับดูบ้าง ไม่ได้จำกัดแค่สิ่งที่ตัวเองทำได้ดีอยู่แล้ว ตั้งใจอยากพยามลองทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ

ยินเจิ้นหาว : ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบเก็บรายละเอียดมาก ก็เลยอยากจะทำหนังที่มีเนื้อหาสะท้อนถึงตัวตนไต้หวันออกไปให้ต่างชาติได้รับรู้ อยากทำหนังที่ทำให้คนทั้งโลกรู้ทันทีว่านี่แหละคือหนังไต้หวัน หนังแบบนี้มีไต้หวันเท่านั้นที่ทำได้

ถึงแม้เทศกาลภาพยนตร์ Taiwan Movie Week 2024 ในปีนี้จะจบลงและผ่านพ้นไปด้วยดี แต่สำหรับใครที่พลาดชมหรืออยากกลับไปสัมผัสความประทับใจของ Marry My Dead Body กับ GG Precinct กันอีกรอบก็สามารถแวะไปสตรีมบน Netflix กันได้เลย ส่วนใครที่กำลังรอลุ้นเวอร์ชั่นภาษาไทยก็คงต้องขอแสดงความยินดีด้วยเช่นกันเพราะตอนนี้ทาง GDH เพิ่งออกมาประกาศว่าจะนำภาพยนตร์เรื่อง Marry My Dead Body นี้มารีเมคเป็นเวอร์ชั่นไทยในชื่อเรื่อง “ซองแดงแต่งผี (The Red Envelope)” ที่ได้ บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ และ พีพี-กฤษฏ์ มาแสดงนำร่วมกัน แถมยังได้ผู้กำกับดังอย่าง คุณโต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล มาขึ้นแท่นเป็นโปรดิวเซอร์ ตลอดจนได้ คุณหมู-ชยนพ บุญประกอบ ผู้กำกับฝีมือดีมากำกับเรื่องนี้ให้ด้วย เตรียมรอสนุกกับการตีความในแบบไทย ๆ กันได้เลย

บทความจากความร่วมมือระหว่างเทศกาลภาพยนตร์ไต้หวันและทีมBAC

MORE STORIES

การสร้างสรรค์นวัตกรรมวัสดุสิ่งทอทดแทนจากการใช้ “ดิน”

โดย ดร. ขจรศักต์ นาคปาน

รสชาติของฤดูใบไม้ร่วงแสนสวยและอร่อยที่ MAD BEEF

Bangkok Art City

Bangkok with Elle

Elle

Photo Essay BAC x RPST

โดย RPST และ BAC EDITORIAL

หอศิลป พีระศรี :

โดย ณรงค์ศักดิ์ นิลเขต